ต้องเรียนรู้บริษัท...ก่อนรู้วิธีซื้อขายหุ้น <ตอนที่ 1>
ถ้าถามผมว่าอะไรควรรู้เป็นอันดับแรก...ในการเล่นหุ้น...ก็ต้องว่า เรียนรู้บริษัท ก่อนที่จะรู้จักวิธีการซื้อขายหุ้นว่าทำอย่างไร
รู้ว่าบริษัท มีรายได้อย่างไร, รายจ่ายอย่างไร, ได้รับความนิยมหรือไม่, ข้อได้เปรียบ, เสียเปรียบ, คู่แข่งขัน, อันดับในสนาม, กำไร, รายได้ในอนาคต, ขนาดของธุรกิจ ว่าเป็นอย่างไร ฝึกจากษริษัทเล็กๆ ไปหาใหญ่ ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น จากนอกตลาดไปสู่ในตลาด
ผมสอนลูกชายให้รู้จัก...
ธุรกิจหาบเร่ ขายไข่ปิ้ง เรียนรู้ขนาดธุรกิจ รายได้ ทุน กำไรต่อวัน ต่อปี รายได้ในอนาคต
ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง
ธุรกิจซื้อมาขายไป โชว่ห่วย
ธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา สอนคอมพิวเตอร์
และก็ไล่ใหญ่มาเรื่อยๆ จนถึง ธนาคาร, น้ำมัน
ผมอธิบายให้เขาฟังว่า...
ในชีวิตจริง ทุกคนมีโอกาสเลือกทำธุรกิจได้ไม่กี่อย่างในตลอดชีวิต บางคนทั้งชีวิตมีธุรกิจเดียว อย่างเช่น ป้าของเขาที่เปิดธุรกิจร้านขายยา
แล้วให้เขา...ค้นหาว่าธุรกิจแต่ละอย่างมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร
ถ้าจะต้องเลือกทำธุรกิจ เขาจะตัดสินใจเลือกอะไร
และก็บอกเขาว่า ในตลาดหลักทรัพย์มีธุรกิจ มากกว่า 500 บริษัทให้เลือก โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร แค่ขอไปเป็นหุ้นส่วน
จาก 500 เลือกให้เหลือ 5 เลือกธุรกิจที่ดี คนบริหารเก่งมีคุณธรรม ราคาที่มีส่วนลด
บอกเขาว่า...
คนที่รวยที่สุดจากการลงทุน ทั้งชีวิตลงทุนไม่เกิน 20 ตัว ถือว่าน้อยมาก
แต่ถือว่ามาก ถ้าเทียบกับป้าเขาที่ทั้งชีวิต ทำแค่ 1 ธุรกิจ และต้องเหนื่อยทำเองทุกอย่าง
เราวิเคราะห์กันทุกแง่ทุกมุม ทุกอาทิตย์บนโต๊ะกินข้าวเรามักพูดคุยกันว่าธุรกิจอะไรดี, ไม่ดี, อะไรกำลังมา, และอะไรกำลังไป
สอนเขาแยกบริษัทตามหลักของปีเตอร์ลินส์ (คล้ายหลักพุทธ)
ให้แยกหุ้นออกเป็น 6 กลุ่ม
1.หุ้นโตช้า
2.หุ้นแข็งแกร่ง
3.หุ้นโตเร็ว
4.หุ้นวัฏจักร
5.หุ้นฟื้นตัว
6.หุ้นทรัพย์สินมาก
เด็กที่เกิดมาใหม่ ก็โตเร็ว เข้าสู่วัยรุ่น เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ร่างกายแข็งแกร่ง
และเริ่มที่จะกินแต่ไม่โต หรือที่เรียกว่า โตช้า และเข้าสู่วัยชรา มีทรัพย์สินมาก และตาย
แต่เด็กบางคนก็อาจไม่มีโอกาสได้เป็นวัยรุ่นหรือไม่ก็โตมาแต่หน่วยก้านไม่ดีเท่าไรนัก
เราแยกบริษัทเพื่อให้รู้ว่าลักษณะมันจะเป็นอย่างไร บริษัทที่โตเร็วจะกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง และโตช้าลง ช้าลงและไม่โตในที่สุด
มาดูกลุ่ม 3 เลยนะครับ...หุ้นโตเร็ว
พวกนี้มีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรมากกว่า 20% ต่อปี ถ้าพูดในบ้านเรา ก็มี CPALL ที่ทำให้พอร์ตคนเก่งในบ้านเราทะลุ 1000 ล้านไปเรียบร้อย
หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ลงทุนได้ง่ายที่สุดและให้ผลตอบแทนดีสุดๆ เปรียบได้เหมือนเด็กที่พร้อมจะโตไปอีกนานหลายปี กลุ่มนี้สามารถสร้างคนรวยได้ง่ายๆ
* หมายเหตุ CPALL ราคานี้ถ้าใครไม่มี ไม่น่าซื้อแล้วนะครับ (CPALL 28.25 บาทต่อหุ้น ณ. วันที่ 2 เมษายน 2553)
กลุ่มที่ 4 ...พวกวัฎจักร
มีรุ่งเรื่อง ตกต่ำ สลับไปมา แต่พวกนี้เวลากลุ่มของพวกเขาตกต่ำ...เวลากลับมารุ่งเรื่อง จะมีหลายบริษัทที่ถูกคัดออก กลุ่มนี้ต้องใช้ศิลปะในการคัดเลือกมากกว่าปกติ ยกตัวอย่างนะครับ อุตสหกรรมรถยนต์, บ้าน, นิคม, กระเบื้อง, อิเลคทรอนิกส์, เหล็ก, น้ำมัน...
TIME Cycle แต่ละอุตสาหกรรมไม่เท่ากัน และแต่ละรอบบางครั้งก็นานไม่เท่ากันด้วย กลุ่มนี้กินยาก แต่ถ้าถูกรอบได้เร็วกว่ากลุ่ม 3
กลุ่มที่ 2 ...หุ้นแข็งแกร่ง
เช่น ธนาคาร BBL, KBANK, SCB ไม่มีทางโตเร็ว เพราะเขาผ่านการโตเร็วมาเรียบร้อยแล้ว เวลาลงทุนกลุ่มนี้โอกาสได้กำไรมากกว่าดัชนีมีไม่มากนัก
เช่น รอบนี้ ณ. วันที่ 2 เมษายน 2553
SET +16.7%
BBL +23.7% (ผู้นำธนาคาร)
กลุ่มนี้ถ้าสามารถทำกำไรได้ 30-50% ก็น่าขาย...แล้วก็ไปรอใหม่ โอกาสได้เป็น 2-5-10 เด้ง เป็นได้ยากสุดๆ
ผมจึงไม่ชอบกลุ่มนี้ เพราะผมชอบเล่นป๊อกเด้งมากกว่า
ยกเว้น หุ้นที่ผมขายแล้วไม่รู้จะซื้ออะไร แต่เห็นหุ้นกลุ่มนี้พอจะเหลือแก๊ปให้ 20-30% (เอาก็เอา) แต่นานมากแล้วที่ไม่เคยซื้อกลุ่มนี้เลย
ถ้าผมเห็นบริษัทไหนดี เข้าเกณฑ์ของผม ไม่ว่าจะเป็นราคา, รายได้ในอนาคต, อันดับในอุตสาหกรรม ฯลฯ ต่อให้ SETอยู่ 1700 จุด ผมก็จะซื้อ และยิ่งลงยิ่งซื้อ ถ้าพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น ที่ดัชนี 1700 จุด แต่ CPALL ราคา 8 บาท ผมจะซื้อ, ถ้าลงไป 7 บาท 6 บาท ผมก็จะซื้อ, 5 บาท 4 บาท ก็จะซื้อ (ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน)
ทำไมจะไม่ซื้อในเมื่อ 8 บาทก็ยังซื้อ
โอเค...สมมุติว่าบริษัทนี้เน่าใน เราจะทำอย่างไร?
ก็ขายได้เท่าไรก็เท่านั้น แต่โดยปกติหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เราต้องกระจายไปในหุ้น 5 ตัว เผื่อเจอเน่าใน
หุ้นที่เหลือพอที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนทดแทนส่วนที่สูญเสียไปได้อย่างแน่นอน
แต่ถ้ามันไม่เน่าใน.... ยิ่งลงยิ่งได้ในราคาถูก อย่างที่ผมได้ประสบการณ์ล่าสุดจาก AIT AIT-w1 หรืออย่าง ดร.นิเวศน์ทำกับหุ้น CPALL
ถ้าเราแยกกลุ่มบริษัทออกมาได้ และรู้จักบริษัทดีพอ จะทำให้เราคาดหวังราคาในอนาคตได้
ตลาดดีหรือเปล่า...โปรดอย่าถาม
กระทิงเด็ก หรือกระทิงใหญ่ หมีกำลังแยกเขี้ยว หรือกำลังทำตด
คุณไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ตลาดได้ถึงจะทำเงินในตลาดหุ้น
ตัวผมเอง นั่งหน้าจอเทรดผ่านตลาดที่เลวร้ายมาไม่รู้กี่ครั้ง และผมไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
มีผู้เชี่ยวชาญเป็นพันที่ศึกษาดัชนี ดัชนีซื้อมากเกินไป ขายมากเกินไป กราฟหัวไหล่ตูด พวกนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องกว่าพวกหมอดู
ถ้าพวกเขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง เขาก็กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปกันหมดแล้วทุกคน ไม่ต้องมาคาดการณ์กินเงินเดือนเป็นเดือนๆ
ผมอยากที่จะสามารถคาดการณ์ตลาดได้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ผมจึงพอใจที่จะค้นหาบริษัทที่มีกำไรดี แบบที่บัฟเฟตต์ หรือ ปีเตอร์ลิน ทำกัน ผมสามารถทำกำไรได้แม้ตลาดที่แย่ และตลาดที่ดี
สมมุติคุณสามารถทำนายภาวะเศรษฐกิจได้ ถ้าคุณต้องทำกำไร คุณก็ต้องเลือกหุ้นให้ถูกต้องอยู่ดี
หลายครั้งต่อหลายครั้ง การเลือกภาวะตลาดที่ถูกต้องอาจจะทำให้คุณขาดทุนพอร์ตฯ ครึ่งหนึ่ง
วันนี้ต้องการแสดงให้เห็นว่า...มันมีวิธีเล่นโดยไม่สนใจดัชนี...เล่นโดยการสนใจตัวบริษัทเป็นหลัก
ไม่ได้เอาสิ่งที่เฉลยแล้วมาพูด แต่เอาสิ่งที่ลูกชายผมทำไว้มาให้ดู ซึ่งบริษัทที่ลูกชายผมเลือก ชนะดัชนีไป 60%
จากรูปด้านล่าง แสดงรูปเปอร์เซนต์ จากวันที่ 8/2/53
SET +16.7%
PTT +24.8% (ผู้นำพลังงาน)
BBL +23.7% (ผู้นำธนาคาร)
LH +9.7% (ผู้นำที่ดิน)
VNG +76.4% (บริษัทที่ลูกชายผมเลือกถือ)
ผมคิดว่ามีเพื่อนในนี้ เวลาซื้อขายหุ้น อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัททำอะไร รายได้เป็นอย่างไร กำไรเป็นอย่างไร มีหุ้นกี่หุ้น ปันผลอย่างไร ถ้าไม่รู้จริงๆ ผมแนะนำให้ไปเล่นที่คาสิโนดีกว่าครับ น่าจะมีโอกาสชนะมากขึ้น
*** อย่าลืมนะครับ เรียนรู้ษริษัท สัก 100 บริษัท ค่อยตัดสินใจลงทุนก็ยังไม่สาย***
|